ดื่มน้ำ กี่แก้ว ถึงพอดีกับร่างกาย?
เคยได้ยินกันมั้ยว่า “วันนึงต้องดื่มน้ำ 8 แก้ว” ถึงจะดีต่อสุขภาพ แต่เอาจริง ๆ แล้วมันใช่ทุกคนรึเปล่า? หลายคนก็สงสัยว่าเราควรดื่มน้ำวันละกี่แก้วกันแน่ บางทีดื่มน้อยไปก็กลัวจะขาดน้ำ ดื่มเยอะไปก็กลัวจะบวมน้ำอีก งั้นวันนี้เรามาเคลียร์กันให้ชัด ๆ เลยว่าปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการจริง ๆ อยู่ตรงไหน

ทำไมร่างกายต้องการน้ำ?
ก่อนจะไปนับแก้ว เราต้องเข้าใจก่อนว่าน้ำมันสำคัญยังไงกับชีวิตเราบ้าง ร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่า 60% เลยนะ น้ำมีหน้าที่ช่วยขับของเสียออกทางปัสสาวะ เหงื่อ รวมทั้งช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ทำให้ผิวไม่แห้ง และยังช่วยให้สมองปลอดโปร่งอีกด้วย
ลองคิดดูสิ ถ้าเราขาดน้ำเมื่อไหร่ ร่างกายก็จะเริ่มส่งสัญญาณออกมาเลย เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะเข้ม เหนื่อยง่าย ปวดหัว หรือสมาธิสั้น ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่า “เฮ้! ถึงเวลาต้องเติมน้ำแล้วนะ”
ดื่มน้ำ วันละ 8 แก้ว เรื่องจริงหรือแค่แนวทาง?
หลายคนอาจเคยได้ยินสูตร “8 แก้วต่อวัน” หรือประมาณ 2 ลิตร ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นค่าเฉลี่ยที่ใช้กันทั่วไป แต่ในความเป็นจริง ร่างกายแต่ละคนต้องการน้ำไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- อายุ : คนหนุ่มสาวที่มีกิจกรรมเยอะอาจต้องการน้ำมากกว่าคนสูงอายุ
- น้ำหนักตัว : คนตัวใหญ่ต้องใช้น้ำมากกว่าคนตัวเล็ก
- กิจกรรมในแต่ละวัน : ถ้าออกกำลังกาย เหงื่อออกเยอะ ก็ต้องดื่มมากขึ้น
- สภาพอากาศ : บ้านเราอากาศร้อน แดดแรง แน่นอนว่าต้องเติมน้ำมากกว่าคนอยู่เมืองหนาว
ดังนั้น 8 แก้วถือเป็นตัวเลขกลาง ๆ ใช้สำหรับคนทั่วไป แต่ถ้าชีวิตคุณไม่เหมือนในหนังสือเป๊ะ ๆ ก็ต้องปรับให้เข้ากับตัวเอง
แล้วต้องดื่มกี่แก้วถึงจะพอดี?
มีวิธีง่าย ๆ ในการกะปริมาณน้ำที่ควรดื่ม คือ ใช้น้ำหนักตัวมาเป็นตัวตั้ง สูตรที่หลายคนแนะนำคือ
👉 น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) × 30 มิลลิลิตร = ปริมาณน้ำที่ควรดื่มต่อวัน
เช่น ถ้าคุณหนัก 60 กิโลกรัม
60 × 30 = 1,800 มิลลิลิตร หรือประมาณ 1.8 ลิตร (ประมาณ 9 แก้ว)
แต่ถ้าใครออกกำลังกายหนัก หรือทำงานกลางแจ้งที่เสียเหงื่อเยอะ อาจต้องบวกเพิ่มอีกประมาณ 500 – 1,000 มิลลิลิตร เพื่อชดเชยน้ำที่เสียไป
ดื่มน้ำ ตอนไหนดีที่สุด?
นอกจาก “ดื่มกี่แก้ว” อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “ดื่มตอนไหน” เพราะการดื่มน้ำให้ถูกเวลา จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากขึ้น
- หลังตื่นนอน : ดื่มน้ำทันที 1 แก้ว เพื่อปลุกระบบขับถ่ายและเติมน้ำหลังจากนอนหลายชั่วโมง
- ก่อนอาหาร : ดื่มน้ำสักครึ่งแก้ว – 1 แก้ว จะช่วยให้ระบบย่อยทำงานดีขึ้น และไม่เผลอกินเยอะเกินไป
- ระหว่างวัน : จิบเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ
- ก่อนนอน : ดื่มนิดหน่อย (ไม่ต้องเยอะ) เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำตอนนอน แต่ก็ไม่มากจนทำให้ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อย
ดื่มน้ำน้อยเกินไปเกิดอะไรขึ้น?
หลายคนติดนิสัยไม่ค่อยดื่มน้ำ อาจเพราะทำงานเพลิน หรือขี้เกียจเข้าห้องน้ำ แต่รู้มั้ยว่าการดื่มน้ำน้อยเกินไปส่งผลเสียเยอะมาก เช่น
- ปวดหัว มึนงง สมาธิสั้น
- ผิวแห้ง เหี่ยวง่าย
- ระบบขับถ่ายทำงานไม่ดี ท้องผูก
- เสี่ยงนิ่วในไต เพราะปัสสาวะเข้มเกินไป
ที่แย่สุดคือ ถ้าขาดน้ำนาน ๆ ร่างกายจะอ่อนแรง หัวใจทำงานหนักขึ้น และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้เลย
แล้วดื่มน้ำเยอะเกินไปได้มั้ย?
ใช่ว่าการดื่มน้ำเยอะ ๆ จะดีเสมอไปนะครับ ถ้าดื่มน้ำมากเกินไปในเวลาสั้น ๆ ร่างกายจะขับออกไม่ทัน ทำให้โซเดียมในเลือดเจือจาง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า “น้ำเป็นพิษ” (Water Intoxication) อาการคือ คลื่นไส้ เวียนหัว สับสน และในกรณีรุนแรงอาจถึงขั้นชักหรือหมดสติได้
ดังนั้น ควรดื่มน้ำแบบพอดี ๆ กระจายทั้งวัน ไม่ใช่รอจนหิวน้ำแล้วดื่มทีเดียวหลายแก้ว
เช็กได้ยังไงว่าเราดื่มน้ำพอแล้ว?
วิธีง่ายที่สุดคือสังเกตจาก สีปัสสาวะ ถ้าเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ แสดงว่าดื่มน้ำพอแล้ว แต่ถ้าเข้มมาก นั่นคือสัญญาณว่าควรเติมน้ำเพิ่ม ส่วนถ้าปัสสาวะใสเกินไปตลอดเวลา อาจหมายถึงดื่มมากเกินความจำเป็น
ดื่มน้ำอย่างไรให้ไม่ลืม?
บางทีเรารู้ว่าต้องดื่ม แต่ก็ลืม! งั้นลองทำตามเทคนิคนี้ดู
- พกขวดน้ำติดตัวไว้เสมอ
- ตั้งนาฬิกาปลุกหรือแจ้งเตือนในมือถือทุกชั่วโมง
- ดื่มน้ำก่อนเริ่มกิจกรรม เช่น ก่อนทำงาน ก่อนขับรถ
- เลือกขวดน้ำที่ชอบ จะได้อยากหยิบขึ้นมาดื่มบ่อย ๆ
เครื่องดื่มอื่นแทนน้ำได้มั้ย?
น้ำเปล่าคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ถ้าใครเบื่อ ก็สามารถเลือกเครื่องดื่มอื่น ๆ ได้บ้าง เช่น น้ำผลไม้ไม่ใส่น้ำตาล ชาเขียวไม่หวาน หรือน้ำมะพร้าว แต่ควรระวังเรื่องแคลอรีและน้ำตาลด้วย ส่วนกาแฟกับชา สามารถดื่มได้ แต่ไม่ควรนับรวมทั้งหมดแทนน้ำ เพราะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ อาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลน้ำได้
สรุป
จริง ๆ แล้วไม่มีกฎตายตัวว่าต้องดื่มน้ำวันละ 8 แก้วเป๊ะ ๆ แต่หลักที่ดีคือดูจากน้ำหนักตัว กิจกรรมในแต่ละวัน และสังเกตปัสสาวะของตัวเองเป็นหลัก ที่สำคัญคือกระจายการดื่มน้ำตลอดทั้งวัน อย่าดื่มทีเดียวรวดเดียวเยอะ ๆ แค่นี้ก็ช่วยให้ร่างกายสดชื่น แข็งแรง และผิวพรรณดูดีได้แล้ว